วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สายลม

ก้มมองเท้าตัวเอง เข้มกว่าสีดินนิดหน่อย....
ก้าวต่อไป ปล่อยให้สายลมนำทาง
....

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

“เมื่อเนียมอยากไปอยู่ป่าดงดิบ”








ผมเคยคิดเล่นๆว่า ทำไมคนเราจึงมีผิวสีเนื้อหรือสีน้ำตาล จะอ่อนแก่ก็แตกต่างกันบ้างแต่ก็คือสีน้ำตาล แล้วคุณเคยคิดกันบ้างไหมว่า ทำไมไม่เป็นสีเขียว ส้ม ม่วง หรือสีอื่นๆเท่าที่จินตนาการไปถึง ผมใช้เวลาเชื่อมโยงคำตอบในแบบของผมไม่นานนัก เมื่อเทียบกับการเริ่มสงสัยถึงปัญหานี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทางการแพทย์เขาตอบว่าอย่างไร แต่ผมมีคำตอบในแบบของผม
ในหลักการของทัศนศิลป์ สีน้ำตาลมีส่วนผสมจากสีอะไรบ้าง ก็คือ เหลือง แดง น้ำเงิน และแม่สีสามสีนี้เองที่เป็นสีหลักของสีทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นในธรรมชาติ ถ้าเราไม่นับรวม สีขาวที่เพิ่มความสว่าง และสีดำที่ให้น้ำหนักเข้ม
ผมจึงคิดเอาเองต่อว่า สีน้ำตาลบนผิวหนังของเราเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ธรรมชาติมอบให้กับเรา เพื่อบอกเราเป็นนัยๆว่า ในตัวตนของเราบรรจุทุกอย่างเอาไว้ ในตัวเราคือธรรมชาติทั้งปวง เพราะฉะนั้น การตระหนักถึงความสมดุลที่ธรรมชาติให้มานั้นเป็นสิ่งสำคัญ
เราคือทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิถีแห่งการมีชีวิตทุกวันนี้บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเราได้หลงลืมอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังหรือไม่ เป้าหมายที่เราวางไว้ห่างไกลจากธรรมชาติในตัวเรามากน้อยแค่ไหน เพราะรู้สึกบ่อยครั้งที่เราไม่พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่
วันนี้ผมมีโอกาสได้ดูงานของศิลปินท่านหนึ่งชื่อ “เนียม มะวรคะนอง” ที่กำลังแสดงอยู่ที่หอศิลป์จามจุรี ชั้น 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่วันที่ 5- 21 กันยายน ศิลปินท่านนี้ใช้ชื่องานว่า “I WANNA LOSE MYSELF IN A JUNGLE” หรือชื่อภาษาไทย “ฉันอยากไปอยู่ป่าดงดิบ”
ตัวละครที่เนียมนำมาเล่าเกี่ยวพันกับมนุษย์ สัตว์ป่า ธรรมชาติ เนียมใช้สีสร้างบรรยากาศในแบบของเขา เป็นแบบที่น่าพิศวง สร้างความกลมกลืนและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เป็นอย่างดี มีไม่น้อยหรอกครับที่ศิลปินมาดเซอร์ จะจำลองป่าดงดิบได้อย่างน่ารัก อ่อนหวานและรู้สึกถึงป่าที่เต็มไปด้วยจิตที่เมตตาและน่าทะนุถนอมเช่นนี้
เนียมอธิบายงานของเขาเพิ่มเติมในกระดาษแผ่นหนึ่งถึงแรงบันดาลใจในการสร้างงานครั้งนี้ซึ่งมีถึงสองช่วงของจังหวะชีวิต
ช่วงแรกดูเหมือนจะกล่าวถึงอิทธิพลที่มีผลต่อกระบวนการคิดของเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“เมื่อแปดปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ทดสอบทางจิตวิทยาด้วยการวาดรูป ทำใจให้ว่างแล้ววาดรูปตามหัวข้อที่กำหนด วาดอย่างง่าย ไม่คาดหวัง ผลที่ออกมาจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นในใจผู้วาด” “ผมเห็นว่าวิธีนี้เหมาะที่จะเป็นเครื่องมือเพื่อสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของศิลปะในสัญชาตญาณมนุษย์ หรือกล่าวอีกแง่หนึ่ง กลับไปหาแรงกระตุ้นที่ทำให้เด็กน้อยหยิบดินสอขึ้นมาวาดรูป” ช่วงที่สองน่าจะเป็นแรงบันดาลใจล่าสุดที่กลั่นให้ประสบการณ์ทั้งหมดของช่วงชีวิตที่ผ่านมาผลิดอกออกผลเป็นผลงานชุดนี้
“ผมเริ่มเห็นว่าลึกๆแล้วผมอยากวาดและชอบวาดอะไร สิ่งเร้นลับเริ่มปรากฏเป็นรูปร่าง วันหนึ่งผมเปิดเจอหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่ง ในนั้นมีเรื่องสั้นชื่อ “ฉันอยากไปอยู่ป่าดงดิบ”เพียงแค่ชื่อเรื่อง ไม่ทันได้อ่าน ประโยคนี้ช่วยให้ผมเข้าใจรูปวาดและวิธีการของตัวเองชัดเจนขึ้น จากนั้นผมจึงวาดรูปโดยอิงกับประโยคนี้ เข้าไปใกล้บ้าง ถอยออกห่างบ้าง แต่ก็ยังวนเวียนอยู่กับมัน”
วิธีการทำงานศิลปะของเนียมสอนให้ผมเข้าใจเรื่องของการเข้าไปค้นตัวตนของตัวเอง ให้รู้ว่าตัวเองนั้นชอบอะไร ให้รู้ว่าธรรมชาติของเราเป็นอย่างไรและต้องการอะไร ป่าของเนียมคงไม่ได้หมายถึงการกลับเข้าไปสู่ป่าเขาลำเนาไพรอย่างเดียว แต่หมายถึงการกลับไปสู่สัญชาตญาณการเป็นมนุษย์ที่แท้ ผมว่าผมจะลองทำแบบเนียมดูบ้าง เผื่อความสมดุลในตัวผมจะถูกนำมาใช้อย่างพอดี ถึงแม้จะต้องดึงเบรกมือในการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว แต่ก็น่าทำ เพื่อผมจะได้ไม่เป็นมนุษย์ตัวซีด ที่มีชีวิตอันไร้จิตใจท่ามกลางเมืองที่มีศิวิไลซ์เช่นนี้

ผมชอบมีผิวสีน้ำตาล


Blogของเนียม http://mymaam.bloggang.com

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Some flowers spoke with strong and powerful voices,
which proclaimed in accents trumpet-tongued,
I am beautiful and I rule।' Others murmured in tones scarcely audible,
but exquisitely soft and sweet,
I am little, and I am belove
by George Sand (1804-1876)

ดอกไม้บางดอกพูดด้วยเสียงหนักแน่นมีพลัง กังวานก้องว่า
"ฉันงดงามและฉันเป็นใหญ่"
ดอกไม้อื่นๆ พึมพำด้วยเสียงแผ่วหวานที่แทบไม่ได้ยิน บอกว่า
"ฉันกระจ้อยร่อย และฉันเป็นที่รัก"

ดินแดนใหม่

ฉันกำลังตื่นอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ที่ความเงียบสงัดเป็นนิรันดร์ ที่เสียงตะโกนโด่งดังเท่าใบไม้ไหว ที่ขอบฟ้าเหมือนจะใกล้แต่ห่างไกล ประพรมด้วยแดดร่ำไรยามเย็น

เก้าอี้ไม้สีขาว ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า ทอดตาออกไปเห็นฉันกำลังเล่นละคร อยู่บนขอนไม่ผุพังห่างไกล

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ศิลปะที่ไม่เข้าใจ











1
ทุกชีวิตกำลังเดินผ่านกาลเวลา ทุกช่วงชีวิตที่ก้าวย่างได้มีสิ่งลึกลับบางอย่างจัดสรรประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับพวกเราอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งเดินทางมาก ผ่านเวลามาก ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย เราจะยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น เข้าใจโลก เข้าใจคน เข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาส จังหวะ พื้นที่ ที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปฉวย ไปหยิบ ไปละวาง และที่สำคัญ ได้เข้าใจตัวเองมากที่สุด
การสร้างสรรค์งานศิลปะของเหล่าศิลปิน จำเป็นต้องอาศัยการเดินทางผ่านความหลากหลายตามที่กล่าวมาข้างต้นมากทีเดียว เพราะอะไรถึงได้มีความจำเป็นต่อเขามาก ก็เพราะว่า ยิ่งเดินผ่านมาก ยิ่งเข้าใจ มันจะเสมือนว่าเราได้ดวงตาที่สาม สามารถหยั่งรู้ความเป็นไปต่างๆได้อย่างลึกซึ้ง ต่อสิ่งที่กำลังจะเข้ามา ต่อปรากฏการณ์ข้างหน้าที่ยากต่อการคาดเดา
บางทีก็รู้เท่าทัน บางทีก็เข้าไปล้มกลิ้งกับแรงเหวี่ยงของปรากฏการณ์เหล่านั้น
2
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป กับวลีที่มีคนกล่าวทิ้งไว้นานมากแล้ว “หากชีวิตเธอไม่เจ็บปวดรวดร้าว ร้อนเร้า เหน็บหนาวแสนสาหัส เธอไม่สามารถเป็นศิลปินได้ ”
ชีวิตที่ร้อนรน ยากเข็น เจ็บแค้นมากเท่าไร ยิ่งสร้างสรรค์ศิลปะที่ทรงคุณค่าได้มากเท่ากัน เพราะสิ่งที่แฝงเร้นมาด้วยกันที่สำคัญคือ แรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่เบื้องบนประทานมาสู่บุตรชายแห่งสรวงสวรรค์อย่างศิลปิน เพื่อปลอบประโลมให้กับจิตใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวที่มีต่อสรรพสิ่งเคลื่อนไหวรอบๆตัวเขา การรับความรู้สึกได้เร็ว เข้าใจต่อมันได้ลึก ละเอียด ปฏิบัติต่อทุกสิ่งอย่างอ่อนโยน ผ่อนปรนต่อความขัดแย้ง ซาบซึ้งต่ออารมณ์ตรงหน้า สภาวะแบบนี้เป็นภาระอันหนักหน่วงที่เดียวที่ศิลปินถูกเลือกให้แบกรับไว้ แรงบันดาลใจจึงมีพลังในการผลักดันให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานจากการรับความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นภาษาใหม่ เพื่อระบาย บอกกล่าว แถลงความคับข้องที่ปรากฏการณ์รอบตัวกระทำต่อเขา เพื่อให้คนโดยทั่วไปได้ประจักษ์ถึงการมีอยู่ของความมากมายเหล่านั้น
3
มีหลายครั้งที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงความคิดอ่านที่ศิลปินพยายามเสนอออกมา เสมือนหนึ่งเรามองชิ้นส่วนอะตอมด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เราเชื่อว่ามันมีอยู่ เสมือนหนึ่งว่าเราพยายามเข้าใจรูปภาพสักชิ้น เพราะเชื่อว่ามีสัญลักษณ์บางอย่างดำรงอยู่ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ในสังคมของศิลปิน มิได้สร้างตรรกะใดๆขึ้นมาเพื่อรองรับการตีความของสิ่งใดทั้งสิ้น การสร้างสรรค์ก็มิได้นำข้อมูลที่เป็นรูปธรรมมาสร้างงาน หากแต่นำมาจากการกลั่นที่ผ่านกระบวนการทางจิตของศิลปิน แล้วก็ถ่ายทอดออกมาเป็นผลงาน บางครั้งเราจึงไม่จำเป็นต้องถามถึงที่มา ถึงแหล่งต้นกำเนิดของการสร้างงานชิ้นนั้นๆ แต่ให้เพียงถามใจของเราเองว่า เมื่อรับสัมผัสจากงานศิลปะชิ้นนั้นแล้ว รู้สึกอย่างไร มีผลต่อกระบวนการทางจิตของเราหรือไม่ แค่นั้น เหลือจากนั้น ก็เว้นว่างไว้ให้เป็นพื้นที่เปล่าที่ไม่ต้องไปพยายามไปเข้าใจ
เพราะหากเราพยายามจะไปเข้าใจ เราอาจจะเสียใจที่สุดท้ายแล้ว ศิลปะก็ไม่เห็นมีอะไร เพราะเราเข้าใจมันมากเกินไป จนไม่มีที่ว่างให้จินตนาการสำแดงพลังใดๆ
สิ่งใดที่ถูกตรวจสอบจนหมดสิ้นกระบวนความแล้ว สิ่งนั้นจะถูกกองไว้หลังห้องเก็บของและพร้อมที่จะถูกละลืม

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2551

Half-Dreaming Vietnam

ลองคิดกันดูเล่นๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รายล้อมเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็น คน บ้าน รถ เงินทอง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความรู้สึกเศร้า เหงา ทุกข์ สุข ที่สามารถสัมผัสได้นั้น ล้วนเป็นความจริงหรือภาพลวงที่เราสร้างมันขึ้น ตามหลักตรรกะง่ายๆที่จะทำความเข้าใจเรื่องความจริงลวงพวกนี้ ก็แค่เอาวัตถุที่เราเคลือบแคลงสงสัยเหล่านั้นมาแยกทัศนธาตุออกเสีย เช่น ผู้หญิงสวย ก็ด้วยกายภายนอกที่ดูดี แต่พอมองทะลุเข้าไปข้างในก็จะพบกับน้ำเหลือง หนอง โครงกระดูก เมื่อมองลึกลงไปอีก กายเนื้อพวกนี้ก็กำเนิดมาจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม มันกำเนิดมาจากการแปรเปลี่ยนของสสาร ก็เข้าใจได้ง่ายๆว่าความสวยเหล่านั้นล้วนไม่ยั่งยืน มนุษย์เป็นทุกข์เพราะความสวยงามของผู้หญิงไม่น้อย ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงเอง
ที่เป็นแบบนี้เพราะธรรมชาติล่อลวงเราหรือเราไม่เท่าทันธรรมชาติเสียเอง
แต่หากเราแยกทัศนธาตุโดยใช้ตัวแปรอีกแบบหนึ่งที่ก้าวข้ามเรื่องของสสาร เป็นเรื่องขององค์ประกอบทางความรู้สึก เราคงได้คำตอบที่แตกต่างกัน การรู้เท่าทันการปรากฏขึ้นของอารมณ์ในจิตของเรา ถือเป็นยาดีชั้นยอดในการดับทุกข์และเห็นสัจจะ ซึ่งน้อยคนนักที่จะเข้าถึง
แต่บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องตอบต้องแยก เพราะเราเองต่างหาก ที่เลือกจะอยู่กับความสงสัยคลุมเครือ การเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตกลับไม่ได้เป็นผลดีเท่าไรต่อตัวเอง รังแต่จะทำลายความมุ่งมาดในการใช้ชีวิตที่สดใส
เคยมีครูคนหนึ่งตั้งคำถามสมัยที่ผมเป็นนักเรียน “หากฉันจะบอกกับเธอว่า เธอเพิ่งเกิดมาเพียง 15 นาทีที่แล้ว พร้อมกับความทรงจำ” จะมีใครเชื่อข้อความนี้บ้าง ข้อความนี้กล่าวอย่างปลอดภัยในตัวของมันเอง เราสามารถที่จะเป็นเช่นข้อความนี้ได้หรือไม่เป็นก็ได้ ตามแต่เราจะเลือก
สุดท้ายความจริงลวงจะมากมายเพียงไหน ก็อยู่ที่เราจะรู้จักตัวเองแค่ไหน ชีวิตมีหนทางมากมายให้เลือก เราจะเลือกเล่นเป็นตัวอะไร ดีร้ายอย่างไร หนทางที่เราสร้างมันขึ้นมา ก็มาจากองค์ประกอบของชีวิตที่เราเข้าใจของเราเอง มันจะค่อยๆกำหนดทิศทางและตัวตนของเราให้ปรากฏชัดเจนออกมา และจะวางตัวเราให้อยู่เหนือความจริงลวงทั้งปวง
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผมได้ทบทวนมันอีกครั้งหลังจากที่ได้เห็นงานศิลปะของโอฬาร พลับผล ที่จะกำลังแสดงเดี่ยวที่ ART REPUBIC ในวันที่ 3 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม เขาใช้งานชุดนี้ว่า Half-Dreaming Vietnam
ผลงานชุดนี้กล่าวถึงสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นของตัวเขาระหว่างที่เขาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในเวียดนาม สภาวะระหว่างสัมผัสที่แท้จริงอันเข้าใจและจับต้องได้กับความฝันที่ปรากฏซ้อนขึ้นมา จนทำให้เขาตั้งคำถามขึ้นมากมาย เขากลับจัดการมันอย่างแยบคาย ไม่ต้องทำลายอันใดลง แต่ยอมรับให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว สร้างตัวตนที่พร่าเลือนแต่มีเสน่ห์ เป็นบุคลิกภาพเฉพาะตัวที่น่าสนใจ
เขาได้ใช้เทคนิคชนิดใหม่ที่เขาทดลองด้วยตัวเอง เพื่อพยายามให้ตอบสนองกับความรู้สึกที่เขาต้องการ เทคนิคนี้น่าสนใจมาก และสร้างความรู้สึกส่งต่อได้ดีทีเดียว ส่วนใครที่เคยไปเวียดนามมาแล้ว คงจะรู้จักเวียดนามในแง่มุมของตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย จะเป็นไรไปหากเราจะแวะไปดูเวียดนามในแบบของโอฬาร พลับผล ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปริ่มล้นเกินบรรยายเป็นคำพูดได้ เป็นความรู้สึกที่แตกต่างอย่างแน่นอน
อ่อ ใครต้องการลายละเอียดเพิ่ม ก็ไปตามนี้
http://olarn-plubplon.blogspot.com/ ขอให้มีความสุขกับงานศิลปะดีๆในช่วงสงกรานต์นี้นะครับ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ติดปีก 2

บางทีฉันมักจะคิดว่าตนเองเป็นนกเสรี ที่ชอบโบยบิน และเกลียดการถูกจองจำ
แม้แต่ความรัก ฉันก็คิดว่ามันคือพันธนาการอันหนักหน่วง
ฉันไม่ชอบการผูกมัด หัวใจฉันเสรีเกินกว่าจะเดินร่วมทางกับใครได้
การนั่งอยู่ในสถานที่หนึ่งนานๆโดยที่หัวใจของฉันโบยบินไปแล้ว มันจะทรมานมากหากร่างกายของฉันไม่ขยับขับเคลื่อนตามไปด้วย
นั้นอาจเป็นเพราะความกระสับกระส่ายจากจิตของฉันที่ไม่สงบระงับ และอาจเป็นเพราะการดำรงอยู่แห่งความคับแค้นของอัตตาตัวเองที่หวั่นไหวไปตามกามารมณ์ได้อย่างง่าย จึงทำให้ฉันยังวางทุกอย่างไม่ได้
แต่วันนี้ฉันเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีปีกเช่นเดียวกับฉัน แต่รู้สึกเธอจะว่องไวกว่าฉัน เธอโฉบไปโฉบมาได้รวดเร็ว ปีกของเธอแข็งแรง ที่สำคัญเธอเฉิดฉาย สง่างาม
เธอทำให้ฉันเห็นถึงเสรีที่กว้างกว่า และฉันน้อยเนื้อต่ำใจกับสังขารที่ล่วงเลยไปแล้ว เพราะเธอเป็นนกที่ยังเยาว์ ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนนกแก่ๆ เหลือแรงเพียงน้อยนิดที่ใช้ขยับปีก และฉันก็บินไล่เธอไม่ทัน
ฉันทบทวนอยู่หลายครั้งถึงเรื่องในอดีตที่ฉันไคว่คว้าหาเสรี มันเป็นความจริงแท้ของชีวิตหรือไม่...ช่างหัวมัน หากตอบไม่ได้
แต่วันนี้ ฉันกลับหลงรักความรักเสรีของเธอมากกว่าตัวฉัน
และหากวันข้างหน้าของฉันไม่มีเธอ ฉันก็คงขาดเสรีไปตลอดกาล....

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

สมัยท่องเที่ยวจิตกรรมล้านนา


บันทึกบรรณาธิการ

เพราะมันมันดินแดนที่พิสูจน์ให้เห็นได้ไม่ทั่ว ว่าทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
ส่วนมากเข้าใจเพียงการเป็นไปตามเจตจำนงค์ขององค์ประกอบเหล่านั้น และทวีความวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ จนโดยทั่วไปไม่สามารถควบคุมอะไรได้เท่าไร

บางครั้ง เราเห็นตัวตนของสิ่งหนึ่งในอีกสิ่งหนึ่ง ประหนึ่งว่าทุกอย่างล้วนมีส่วนประกอบของทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน อัตลักษณ์ที่เราค้นหา ที่เรายึดมั่น ยังมีความจำเป็นแค่ไหน ที่สุดแล้วมันเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจ หรือตั้งใจให้บังเอิญ


เป็นเพราะสมองเรามีจำกัด

เป็นเพราะเราไม่ได้เก่งอย่างที่เราเชื่อมาตลอด

เป็นเพราะการดำรงอยู่อย่างนี้มีข้อจำกัดมากมาย

และสุดท้ายเราเข้าใจการดำรงอยู่ของเรามากแค่ไหน


แต่ฉันไม่เข้าใจเท่าไรเลย
(หมายถึง ที่ตรูเขียนมาทั้งหมดเนี๊ย 555)


วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550

สมเด็จโต

ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Free Concert

เมื่อวานไปดู เพชร โอสถานุเคราะห์ ที่ศิริมังคลาจารย์ 11 เบียร์ฟรี อาหารฟรี เจอเพื่อนๆเพียบ อย่างนี้จะเหลือเรอะ เมาดี เหะเหะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2550

วันที่ 3 ตุลา ตอนเช้าไปทำสังฆทาน ตอนบ่ายขับรถชน !!! ดีน่ะมีประกัน เฮ่ย!

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Study Project













ผลงานสมัยเรียน ไม่เกิน 10 ปี ที่แล้ว เอามาโชว์หน่อย เพราะตัวคนทำเองก็เกือบจะลืมแล้วเหมือนกัน เอ๊ะ สีเพี้ยน เดี่ยวกลับไปแก้ใน Photoshop ก่อน แล้วจะมาอัพใหม่




วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ติดปีก


บังเอิญเห็น

เด็กสาวผู้มีปีก กับต่างหูรูปผีเสื้อ
และความสดใสร่าเริง ที่กำลังโบยบิน...
.

.

.

โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข

และพร้อมจะหมุนรอบเธอ

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

morning has broken


เชียงใหม่ตอนนี้มีเค้าลางแห่งลมหนาวว่ากำลังจะมาแล้ว พอได้กลิ่นของลมหนาวก็มักจะย้อนไปสู่วัยหนุ่มสาว สมัยที่แสวงหาความหมายที่ซ่อนอยู่ตามซอกมุมของเมือง ตามช่องว่างระหว่างชีวิตหนึ่งกับอีกหนึ่ง ตามจิตใจของเราเองที่วิ่งเตลิดไม่รักดีไปอยู่กับสิ่งที่ห่างไกลเกินกว่าจะตามไปทำความเข้าใจได้ และตามสิ่งบางสิ่งที่อย่าหวังว่าจะทำความเข้าใจ
วันนี้หยิบหนังสือ Art Expose ขึ้นมาอ่านเล่น ก็อดคิดขำกับสิ่งที่ได้มีส่วนร่วมทำมันขึ้นมาไม่ได้ แม้ตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้วว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้ร่วมกันทำมันขึ้นมา มันมีความภูมิใจมากในช่วงเวลานั้น แม้จะผ่านมา 5 ปี ก็ยังภูมิใจอยู่ แต่ตำแหน่งแห่งความภูมิใจได้เคลื่อนไปตามทัศนคติที่เติบโตขึ้น
5 ปีที่จบมา เท่ากับหลักสูตรการศึกษาศิลปะในมหาลัย แต่กับชีวิตนอกมหาลัย มันหนักหนามากกว่าหลายเท่า เราพบได้อย่างง่ายว่าการเรียนรู้มันคนละแบบ คนละชุดความรู้ นอกจากการใช้ปัญญาแล้ว สิ่งสำคัญเหนือกว่านั้นคือหัวใจ และ 5 ปีหลังก็ได้สั่งสอนเรา ผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ผู้ที่ใจกลางคืนเป็นควันใจกลางวันเป็นไฟ ผู้ที่ต้องการมีชีวิตแบบขันบันได ที่วันข้างหน้าต้องก้าวขึ้นสู่ที่สูง ถึงกับต้องหงายหลังล้มกลิ้ง เพราะทุกอย่างล้วนไม่เป็นดั่งนั้น
เพียงเปลี่ยนจากการคาดหวังถึงชีวิตที่จะต้องเป็นเส้นตั้ง ให้คาดหวังการมีชีวิตแบบเส้นนอน เราก็จะมองโลกใบนี้เปลี่ยนไป และที่สำคัญกว่านั้น มันต้องไม่ใช่แค่ความเข้าใจถึงจินตภาพว่าเป็นอย่างไร แต่มันต้องหมายถึง การประจักษ์แจ้งในนั้น เพราะเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ การประจักษ์แจ้งนั้น จึงต้องเกิดจากการใช้ชีวิตภายใต้สติที่ใตร่ตรองอยู่เสมอ และจะนำไปสู่การใช้ความเมตตา ความรัก และการนับถือซึ่งกันและกัน


อย่าลืมออกจากบ้านด้วยความสดชื่น ดิ้นตัวเองให้หลุดจากความกลัว และร่องอารมณ์ ที่ฉุดรั้งเราไว้ ...ยากไปไหม...กรู

Morning has broken
Morning has broken
Like the first morning
Blackbird has spoken
Like the first bird
Praise for the singing
Praise for the morning
Praise for the springing
Fresh from the word
Sweet the rains new fall
Sunlit from heaven
Like the first dewfall
On the first grass
Praise for the sweetness
Of the wet garden
Sprung in completeness
Where his feet pass
Mine is the sunlight
Mine is the morning
Born of the one light
Eden saw play
Praise with elation
Praise every morning
God’s recreation
Of the new day
Morning has broken

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550

บทเพลงแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง

........ความเบิกบาน
มิใช่ภาวะที่เกิดขึ้นได้โดยพยายาม
ทั้งเจตนาให้เกิดก็ไม่ได้เช่นกัน

จิตที่เบิกบาน เป็นไป เพราะเป็นไป
เป็นไป เพราะไร้แรงผลัก
เป็นไป เพราะจิตเปิดสู่ความเป็นเช่นนั้นเอง

อย่าได้ฝืน อย่าได้ดึง อย่าพยายาม
ไม่มีอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรไม่ต้องทำ

สิ่งซึ่งปรากฏขึ้นในทุกขณะจิต
ไร้ความสำคัญ­โดยสิ้นเชิง
ไร้ความจริงใด ๆ ทั้งสิ้น
ใยเล่าจักต้องใส่ใจหาความหมาย
ใยไปติดยึดกับสิ่งเหล่านั้น
ใยต้องไปตัดสินเขา ตัดสินเรา

จงทำตัวสบาย ๆ มองดูปรากฏการณ์อย่างเป็นเช่นนั้น
บัดเดี๋ยวก็โผขึ้นสู่เบื้องบน
บัดเดี๋ยวกลับยุบลงเบื้องล่าง
ขึ้นแล้วก็ลง เหมือนรอบคลื่น

ไม่พยายามจัดการให้ได้ดังใจ
ไม่พยายามเปลี่ยนการณ์ที่ปรากฏ
เพียงเฝ้าสังเกตความลี้ลับ
อัศจรรย์ใจไปกับการก่อเกิด
มหัศจรรย์ใจไปกับการดับสูญ
­รอบแล้วรอบเล่า
ก่อเกิดแล้วดับสูญ

เพราะเราพยายามแสวงหาความสุข
เหตุฉะนี้ เราจึงไม่เคยพานพบ
เปรียบดั่งสายรุ้งเจิดจำรัส
เอื้อมมือคว้า แต่ไม่เคยได้สัมผัส
เหมือนเจ้าหมาน้อย วิ่งวนไล่งับหางตัวเอง

แม้ว่าสันติและเบิกบาน
จะมิได้ดำรงให้เห็นเช่นรูปธรรม
ทว่า สันติและเบิกบาน
ดำรงอยู่ และดำเนินไป
เคียงคู่ขณะแห่งชีวิตเสมอ

อย่าได้หลงประสบการณ์
ดี-เลว บุญ­-บาป คุณ-โทษ
เหล่านั้นเปรียบดั่งอากาศที่ไม่เคยไม่ผันผวน
เหล่านั้นเปรียบดั่งรุ้งล่องหน ทอดงามอยู่ปลายฟ้า

ปรารถนาไขว่คว้าสิ่งคว้าไม่ได้
เหนื่อยล้าตัวตนไปใย
เปิดใจและผ่อนคลายเสียแต่บัดนี้
ความว่างพลันปรากฏ

จงเปิดประตูไว้ เชื้อเชิญ­ และอำนวยสะดวก
จงผ่อนคลายกับความว่างอันไพศาล
จงสำราญ­กับธรรมชาติแห่งเสรี

ไม่ถามหาอนาคต
ไม่รีบรุดสู่ป่าอลหม่าน
จงมองดูเจ้าช้างใหญ่ผู้ตื่นแล้ว
ช้างใหญ่ผู้ตื่น แต่ผ่อนพัก
จงสงบอย่างตื่น
พำนักสบาย ๆ อยู่ในหทัยสถาน

ไม่มีอะไรต้องทำ
ไม่มีอะไรไม่ต้องทำ
ไม่มีอะไรต้องฝืน
ไม่มีอะไรต้องปรารถนา

อา..ช่างน่าพิศวง
อะไร อะไร ก็เคลื่อนไปอย่างนั้นเอง
สรรพสิ่งล้วนเป็นเองเช่นนั้น
"เสรี และ เรียบง่าย บทเพลงแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง"ลามะ เก็นดุน รินโปเช สมพร พึ่งอุดม แปล ๒๕๔๖

child

ดินสอสีถูกจรดกับกระดาษ และลากไปมาเหมือนรถวิ่งแฉลบบนพื้นถนนเปียก แลดูมันสะเปะสะปะยังไงบอกไม่ถูก รูปทรงถูกสร้างขึ้นอย่างคลุมเครือ แต่แจ่มชัดในความคิดและการมองเห็น การขีดเขียนยังไม่จบแค่รูปทรงและเส้นเพียงไม่กี่เส้น แรงขับภายในดั่งคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็น มันพุ่งพล่าน สนุก และโลดโผน ยังก่อกำเนิดเส้นและรูปทรงอีกมากมาย และนั้นคือจักรวาลย่อมๆบนกระดาษ กว้างยาวไม่กี่เซนติเมตร

โลกแห่งความจริงทุกวันนี้ มันร้อนและเจิดจ้า จนทำให้สีสันบนโลกซีดลง และทึมเทามากขึ้น หากใครมีอุดมการณ์เป็นของตัวเองก็เหมือนต้องคำสาปอันแสนทรมาน เส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ กว่าจะได้สถานะตามที่คาดหวัง อาจต้องแลกด้วยการสูญเสียศรัทธาต่อตนเองอย่างเจ็บปวด
หากการก่อร่างสร้างโลกใบเล็กๆของใครลำบากมากมาย ลองหยุดสักนิด แล้วหันมาย้อนระลึกดู ขณะที่สร้างจักวาลใบเขื่อง เมื่ออายุไม่กี่ขวบ
มีใครหยั่งรู้ความคิดของเด็กขณะวาดรูปได้บ้าง...ไม่เลย...แต่มันกลับแสดงออกเป็นสัญลักษณ์ผ่านแววตาที่แจ่มใส สีหน้าที่เบิกบาน และผิวหนังที่เต็มตึง
เด็กเหล่านั้นไม่ได้สร้างจักรวาลบนกระดาษเพียงอย่างเดียว แต่กำลังสร้างสวนดอกไม้ให้กับโลกด้านในของเขาเอง มันเป็นดินแดนที่ไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่เร่งรัด ไม่กล่าวโทษ แต่กลับเป็นดินแดนที่ดำเนินอย่างเป็นไปเอง ผ่อนคลายและเป็นมิตร

ความสุขที่ไม่ต้องไขว้คว้า แข่งขัน ไม่เกี่ยวกับการบรรลุนิติภาวะ ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องวัด ไม่ต้องสร้างชุดคำอธิบายมาปลอบใจ กระทำได้เพียงง่ายๆ แค่หยิบดินสอสี กับกระดาษ เดินไปยังพื้นที่อันสงบ.....จักรวาลภายในก็สว่างวาบ


เขียนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตีพิมพ์ในวารสาร Take off